อัจฉริยะ ไลฟ์สดฟาดเดือดถึง โม อมีนา ลั่นอย่ามาแอ๊บแบ๊ว!
เดือดอีกแล้วสำหรับ นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ที่ล่าสุดได้ไลฟ์สดฟาดถึงนางร้ายสาว โม อมีนา ที่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ แตงโม นิดา โดยนาย อัจฉริยะ เผยว่า ตนเคยขอความร่วมมือกับโม อมีนา ร่วมกับ นายเอกราช นามโภคิน ในคดีของแตงโมไปตั้งแต่เมื่อ3ปีที่แล้ว วันที่จะพิสูจน์ภาพในเวลา 21.56 ว่ามีการตัดต่อหรือไม่อย่างไร ที่มีภาพกระติกกับแตงโม และมีการขอภาพต้นฉบับจากโม

ซึ่งทีแรกดาราสาวก็บอกว่าจะให้ความร่วมมือ แต่พอกลางคืนกลับไปไลฟ์สดกับแอนนาว่าตนเสียๆหายๆ แต่กลับมาพูดอีกว่ามีพยานหลักฐานสำคัญที่จะให้ข้อมูลกับตำรวจร่วมกับกระทรวงยุติธรรม โม อมีนาไปพบนายธนกฤติ และ ไปชวนหมอหมูไปพิสูจน์จำลองเรือกันโดยยืมเรือของเพื่อนตนไป โดยจำลองด้วยการหมุนใบพัดและใช้หุ่นเหมือนตำรวจทำ ก่อนที่หมอหมูจะออกไปพูดว่าบาดแผลแตงโมเกิดจากใบพัดเรือ และหลังจากนั้น3ปีต่อมา โม อมีนา ก็เงียบกริ๊บ

จริงหรือไม่ โม อมีนา ว่าเคยไปจำลองกับหมอหมูเมื่อ 3 ปีก่อน ถ้าปฎิเสธ อัจฉริยะ ขู่จะนำคลิปที่เก็บไว้เมื่อ 3 ปีก่อนมาเปิดเผย นอกจากนั้น อัจฉริยะ ยังบอกว่า3ปีที่ผ่านมา โม อมีนา แอ๊บแบ๊ว ทำนู่นทำนี่แต่เวลาผ่านไปสื่อไปสัมภาษณ์อีกกลับบอกว่าไม่ให้สัมภาษณ์แล้ว เพราะรู้หมดแล้วข้อเท็จจริงเป็นไง ซึ่งเป็นอะไรที่แอ๊บแบ๊วมาก


เรียบเรียง news in thailand
อัพเดทรายได้ 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ 9 เดือน ประจำปี 2563
บทความ โดย : Nuntanach D. | พฤศจิกายน 17, 2020 |

เข้าสู่ฤดูกาลแถลงผลประกอบการของตลาดหลักทรัพย์ ตัวเลขที่เราเห็นในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือชี้วัดสภาวะตลาด ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า…แทบจะไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

อสังหาริมทรัพย์ เคยโตสูงสุดในปี 2561 โดยมีโครงการเปิดใหม่ 244 แห่ง
มูลค่ากว่า 360,000 ลบ. กลายเป็น Red Ocean ให้ผู้ประกอบการหลายรายตบเท้ากันเข้ามา เติม supply จนเกือบล้น ก่อนที่จะได้รับสัญญาณเดือน ผ่านมาตรการ LTV ส่งผลให้ตลาดอสังหาชะลอตัวลงในช่วง 2 ปีหลัง
สำหรับปี 2563 ผลกระทบของ Covid-19 ลุกลามไปทุกภาคส่วน ธุรกิจอสังหาฯ ก็หนีไม่พ้นวิกฤตนี้ นับว่าร้ายแรงที่สุดตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 หลายบริษัทชะลอการเปิดโครงการใหม่ และหันไปอัดโปรโมชั่นเพื่อระบาย Stock แต่ก็ยังไม่สามารถดึงความต้องการของลูกค้าออกมาได้ ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขาย 207,344 ยูนิต โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 3-4 ปี ถึงจะสามารถขายได้หมด

ถ้าใครอยากรู้ว่า…ทิศทางอสังหาในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ให้ตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือนของ 10 บริษัททำนายแล้วกัน

5 ประเด็นที่ต้องจับตามองสำหรับอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า จาก SCB: EIC
- ภาพการฟื้นตัวของตลาดจาก COVID-19 โดยภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงอย่างมากส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ จะเป็นไปอย่างช้า ๆ กว่าที่ยอดขายจะกลับมาสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2565 โดยตลาดกลุ่มระดับกลางถึงบนจะเป็นตัวนำการฟื้นตัวของตลาด
- ภาวะ Suply ส่วนเกินและการลดลงของราคาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านที่มีหน่วยเหลือขายสะสมค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังต้องเน้นการระบาย Stock และทำให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงมากขึ้น
- ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค (housing affordability) มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับลดราคาลงและเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูกลงเพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
- การที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาเน้นเจาะตลาดแนวราบมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการแข่งขันในตลาดแนวราบมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดระดับราคาปานกลางอย่างเช่น ทาวน์เฮาส์
- ยอดขายใหม่มีแนวโน้มจะกระจุกตัวในโครงการของผู้ประกอบการขนาดใหญ่มากขึ้นจากการแข่งขันทำ promotion อย่างต่อเนื่องเพื่อระบายสต็อกรวมถึงการแข่งขันเปิดตัวโครงการแนวราบ ประกอบกับชื่อเสียงของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันที่ได้เปรียบมากกว่า

สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2564
REIC คาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 94,072 หน่วย (ครึ่งแรก 44,251 หน่วย และครึ่งหลัง 49,821 หน่วย) มีมูลค่าขายได้ใหม่ 408,476 ล้านบาท (ครึ่งแรก 192,145 ล้านบาท และครึ่งหลัง 216,331 ล้านบาท) เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง โดยทิศทางของที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีความโดดเด่นกว่าอาคารชุด

โดยที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2 – 3 ลบ. และระดับราคา 3-5 ลบ. เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตในส่วนของหน่วยขายได้ใหม่มากที่สุด โดยอาคารชุดขายได้ใหม่ในระดับราคา 2-3 ลบ. มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็น 34% บ้านเดี่ยวขายได้ใหม่ในระดับราคา 3-5 ลบ. มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็น 36% ทาวน์เฮ้าส์ขายได้ใหม่ในระดับราคา 2-3 ลบ. มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็น 42% บ้านแฝด ขายได้ใหม่ในระดับราคา 3-5 ลบ. มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็น 51% และอาคารพาณิชย์ขายได้ใหม่ในระดับราคา 3-5 ลบ. ขายได้มากที่สุดคิดเป็น 56%
